ในทางจิตวิทยา ทัศนคติเป็นส่วนหนึ่งของความจำเป็นขั้นพื้นฐานด้านจิตวิทยาในการทำสิ่งหนึ่งๆ เช่น บุคคลมีความจำเป็นหรือความต้องการที่จะรู้ หรือความต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดบ้าง และทัศนคติส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ หลายคนอาจชินกับสิ่งที่เรียกว่า “จิตพิสัย” ซึ่งในแง่ของเป้าหมายการเรียนรู้ จิตพิสัยคือส่วนที่เป็นการเรียนรู้ด้าน Affective ตารางข้างล่างนี้แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
ตาราง แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
ปรับจากคู่มือวัดผลประเมินผลวิทยาศาสตร์, 2555 และ วิจารณ์ พานิช,
2556
ขอยกตัวอย่างในกรณีของการเรียนรู้ฟิสิกส์
ทัศนคติต่อการเรียนรู้ฟิสิกส์ไม่ใช่หมายความเพียงการมีความรู้สึกในทางบวกกับเนื้อหาวิชาแต่ต้องรวมไปถึงความรู้สึกชื่นชมในการคิดแบบนักฟิสิกส์
คุณค่าของฟิสิกส์ เช่น ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้ฟิสิกส์กับศาสตร์อื่นๆ ได้
การประยุกต์ใช้ฟิสิกส์กับชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหาด้วยความรู้ทางฟิสิกส์ เป็นต้น
ในแง่ของทัศนคติกับการเรียนรู้
มีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินทัศนคติของผู้เรียน
เพื่อศึกษาว่านอกจากเนื้อหาทางวิชาการที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนแล้ว
กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้บ่มเพาะความเชื่อและความรู้สึกของผู้เรียนอย่างไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น Colorado Learning
Attitudes about Science Survey (CLASS) ซึ่งวัดว่าผู้เรียนรับรู้
มีความรู้สึก และความเชื่อต่อการเรียนวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง
โดยมีการปรับใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของหลากหลายสาระวิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี
ชีววิทยา เป็นต้น ตัวอย่างข้อคำถามที่วัด เช่น การมองปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
การทำความเข้าในหัวข้อต่างๆ ของฟิสิกส์แบบเชื่อมโยงหรือแยกส่วน
วิธีการเรียนที่เน้นการจดจำข้อมูลและเนื้อหาเพื่อที่จะนำมาใช้โดยไม่ได้ฝึกคิดวิเคราะห์
(ทัศนคติแบบผู้เรียนแรกเริ่ม (novice) การมองว่าฟิสิกส์คือความเชื่อมโยงระหว่างหลักคิดต่างๆ
ที่ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้
การเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ (ทัศนคติแบบผู้เชี่ยวชาญ (expert))
เป็นต้น (สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Adams, W. K., et
al., “Design and Validation of the Colorado Learning Attitudes about Science
Survey”, ใน http://cosmos.colorado.edu/phet/
survey/CLASS/
ในส่วนของการวิจัยที่ศึกษาเรื่องทัศนคติกับการเรียนรู้มักจะเป็นการวัดผลจากคะแนนทดสอบและทัศนคติการเรียนรู้ซึ่งวัดก่อนเรียน-หลังเรียน
ว่ามีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์กันกับวิธีการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่
หรือศึกษาทัศนคติการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อทำนายถึงสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน
(วัดจากเกรดเฉลี่ย) โดยที่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่การอธิบายในความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ
ในส่วนของผลการศึกษานั้น ผลการวิจัยในแต่ละบริบทก็ให้ข้อค้นพบที่แตกต่างกัน เช่น
ทัศนคติต่อวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสัมฤทธิ์ผลในการเรียนวิทยาศาสตร์ (Perkins, K. K., et al, 2005) ขณะที่
บางงานวิจัยค้นพบว่าแม้ในห้องเรียนที่ปรับการเรียนการสอนให้เป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกมากขึ้น
เช่น มีอภิปรายกลุ่มย่อย
และพยายามใช้วิธีการประเมินที่ช่วยแก้ไขความเข้าใจในแนวคิดที่ผิด (misconceptions)
แต่หลังจากสิ้นสุดภาคเรียน
ผู้เรียนกลับมีความเชื่อและทัศนคติต่อฟิสิกส์แบบผู้เรียนแรกเริ่มมากกว่าก่อนเรียน
(Zeilik, M., Schau, C., & Mattern, N., 1998) หรือมีทัศนคติการเรียนรู้ต่อฟิสิกส์ที่ไม่ได้มีในทางบวกเพิ่มขึ้นเลย
แม้คะแนนการทดสอบของนักเรียนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในความเข้าใจในแนวคิดหลักของฟิสิกส์มากขึ้นก็ตาม
(Redish, E. F., Saul, J. M., & Steinberg, R. N., 1998)
การสร้างบรรยากาศให้เกิดการบ่มเพาะหล่อหลอมความคิดความเชื่อนี้
อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาของหลักสูตร แต่เป็นเสมือน hidden curriculum ที่ส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมาก
เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยให้การพัฒนาความรู้และทัศนคติเกิด
synergy ไปด้วยกัน ตัวอย่างเทคนิคที่ผู้สอนสามารถใช้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของวิชาหนึ่งๆ
เช่น
·
เชื่อมโยงเนื้อหาสาระให้เข้ากับความสนใจของผู้เรียน
ชี้ให้เห็นว่าการเรียนวิชานั้นในตอนนั้น เชื่อมโยงกับความสนใจของผู้เรียนอย่างไร
ซึ่งการจะจูงใจผู้เรียนในยุคปัจจุบันได้ ผู้สอนต้อง update ข้อมูลพอสมควรว่า trend
ของสังคมเป็นไปอย่างไร
·
งานที่ทำต้องสอดคล้องกับโลกแห่งชีวิตจริง เช่น
ทำโครงงานหรือกรณีศึกษาที่เป็นเรื่องจริง หรือจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบ work integrated learning
·
แสดงความสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เรียนเรียนอยู่ในปัจจุบัน เช่น เมื่อผู้เรียนสงสัยว่าเรียนวิชานั้นๆ
ไปทำไม และยังไม่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่ตนต้องการเรียน
ผู้สอนต้องพยายามหาตัวอย่างและนำเสนอเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น (Simplification) ว่าคุณค่าของการเรียนวิชาพื้นฐานช่วยในการเรียนวิชาเฉพาะทางของตนอย่างไร
เป็นต้น
·
ระบุความคาดหมายของผู้สอนให้ชัดเจนว่าผู้เรียนต้องเรียนให้รู้อะไร
(บางที Course syllabus ของวิชาอาจยังไม่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้มากพอ) ที่สำคัญคือว่าวิชานั้นๆ
มีประโยชน์อย่างไร ต้องทำอะไรได้ ในระดับความซับซ้อนเพียงใด
โดยช่วยแนะแนวขั้นตอนการเรียนรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเผชิญคืออะไรบ้าง
เหล่านี้คือการช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เรียนว่าสิ่งที่เรียนอยู่นั้นมีความหมายกับพวกเขาอย่างไร
และพวกเขาสามารถทำให้สำเร็จได้
การชี้แนะเหล่านี้ควรทำในหลายๆ ช่องทาง เช่น
เขียนถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวังอย่างชัดเจนใน course syllabus (ดูตัวอย่างของการเขียนคำอธิบายรายวิชาที่เน้น
learning goals ที่ http://www.colorado.edu/sei/departments /physicslearning.htm) รวมถึงการแจ้งวิธีการประเมิน
สิ่งที่จะประเมิน หากสามารถอธิบายองค์ประกอบและระดับของความรู้ความสามารถนั้นๆ
เป็น Rubrics ได้ จะเป็นการดี
·
มอบหมายงานที่ค่อนข้างง่ายก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความยาก เช่น
โครงงานขนาดเล็ก ใช้เวลาสั้นในการทำ และสัดส่วนคะแนนไม่มาก ก่อนที่จะยกระดับความซับซ้อนของงานที่ต้องการทั้งการใช้ความรู้และทักษะระดับสูงขึ้น
·
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกกิจกรรม เลือกเรื่องทำโครงงาน
เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เรียนและเป็นการควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียนไปด้วยในตัว
ที่สุดแล้ว เพื่อที่จะให้เกิดบรรยากาศและกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดทัศนคตินั้น
ผู้สอนต้องประเมินผลผู้เรียนเป็นระยะ ซึงการประเมินทัศนคติของผู้เรียนสามารถทำได้หลายวิธีการนอกจากการทำแบบสำรวจซึ่งเป็นรูปแบบการประเมินผลทางอ้อม
(Indirect) ควรลองทำการบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรม
การให้แก้โจทย์ปัญหาหรือมอบหมายงานที่แฝงให้ผู้เรียนแสดงออกถึงทัศนคติ
และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสะท้อนความคิด (Reflection) เหล่านี้เมื่อใช้เสริมแรงกันและสอดแทรกให้อยู่ในกระบวนการเรียนการสอน
(ไม่จำเป็นต้องแยกส่วนออกมาเพื่ออบรมบ่มเพาะทัศนคติกันโดยเฉพาะ)
และเมื่อผู้เรียนแสดงให้เห็นว่าทำได้ดีในเรื่องนั้นๆ ก็ควรแสดงออกถึงความชื่นชม
หรือใช้เทคนิคการให้รางวัลแก่ผู้เรียน
ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยสร้างเสริมทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น