หน้าเว็บ
- หน้าแรก
- บทที่่ 1 บทนำ
- บทที่ 2 การประชุมเพื่อหาเป้าหมายและจุดประสงค์ตามโมเดลปลาทู (หัวปลา)
- บทที่ 3 กิจกรรมระดมความคิดตามโมเดลปลาทู (ตัวปลา)
- บทที่ 4 การเขียนสรุปและการเผยแพร่สู่คลังความรู้
- เทคนิคการอ่านจับใจความ
- สอนสร้างทัศนคติ เพื่อการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
- เทคนิคการสอนวิทยาศาสตร์ให้สนุก 7 ประการ
- เทคนิคการเรียนและการจัดการกับเนื้อหาวิชาฟิสิกส์
- ตัวอย่างข้อสอบวิชาคณิตศาตร์ที่ใช้ในการฝึก
- ตัวอย่างข้อสอบวิชาฟิสิกส์ที่ใช้ในการฝึก
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558
เทคนิคการเรียนและการจัดการกับเนื้อหาวิชาฟิสิกส์
ความรู้จักเทคนิคการเรียนวิชาฟิสิกส์กันดังนี้
1. ใช้ความเข้าใจ จำสูตรเท่าที่จำเป็น อย่าหวังเอาแต่จะใช้สูตรลัด เพราะการใช้สูตรลัดจะต้องจำสูตรมาก มีโอกาสพลาดเยอะ และไม่ สามารถแก้ปัญหาโจทย์ที่ซับซ้อนได้
2. มีจินตนาการ เอาสิ่งรอบข้างมาประกอบความเข้าใจ และช่วยจำ เช่น ขณะขี่มอเตอร์ไซด์ นึกถึงเรื่อง ความเร็ว ความเร่ง เมื่อบิดรถให้ เร็วขึ้น รถจะมีความเร่ง เมื่อชะลอความเร็ว รถจะมีความหน่วง ขณะลากหรือผลักของบนพื้น นึกถึงเรื่องแรง และแรงเสียดทานที่กระทำกับของนั้น ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ นึกถึงแรงกริยา แรงปฏิกิริยาที่พื้นเก้าอี้กระทำกับก้น ขณะเห็นนักกีฬา ทุ่มน้ำหนัก พุ่งแหลน นึกถึงการเคลื่อนที่แบบโพรเจคไทล์ ขณะเห็นคนงานก่อสร้าง ใช้รอกหิ้วถังปูนขึ้นชั้นบน นึกถึงแรงตึงในเส้นเชือก น้ำหนักถังปูน
3.หมั่นฝึกฝนทำโจทย์ การได้ฝึกทำโจทย์เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนทุกวิชา เพื่อให้น้อง ๆ มีทักษะในการคิดและแก้ปัญหาโจทย์ การเรียน แบบเอาแต่จำและเข้าใจเฉพาะในห้องเรียน นั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้ง แลสามารถแก้ปัญหาโจทย์ข้อสอบ โดยเฉพาะข้อสอบแข่งขันเพื่อ เรียนต่อได้ ฉะนั้นหากอยากเก่งก็ต้องหมั่นฝึกฝนด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากโจทย์ตัวอย่างง่าย ๆ ก่อนแล้วค่อยทำโจทย์ที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีการ แก้ปัญหาโจทย์ฟิสิกส์สรุปขั้นตอนได้ดังนี้
3.1 อ่านและทำความเข้าใจโจทย์ที่ให้มาว่า โจทย์ต้องการให้หาอะไร
3.2 แปลความหมายโจทย์ให้เป็นรูปภาพ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ โดยการวาดรูปตามโจทย์ใส่ปริมาณต่าง ๆ ทั้งที่รู้ค่า และไม่รู้ค่าลงไป
3.3 เขียนสมการที่เกี่ยวข้องลงไป
3.4 แก้สมการ หาคำตอบ
4. มีพื้นฐานความรู้ทางคณิตศาสตร์ จาก ม.ต้น จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ จาก ม.ต้น มาช่วยแก้ปัญหาโจทย์ฟิสิกส์ ด้วย หากมีพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดี ก็จะช่วยให้แก้ปัญหาได้เร็ว และแม่นยำขึ้น ลองสำรวจตัวเองดูว่ามีความเข้าใจ หลักคณิตศาสตร์เหล่านี้หรือไม่ หากเข้าใจดีแล้วก็พร้อมที่จะเรียนฟิสิกส์ให้ได้ดี หากยังไม่เข้าใจให้ลองนึกคิดทบทวนและทำความเข้าใจเสีย ก่อนที่จะเริ่มเรียน
1. ใช้ความเข้าใจ จำสูตรเท่าที่จำเป็น อย่าหวังเอาแต่จะใช้สูตรลัด เพราะการใช้สูตรลัดจะต้องจำสูตรมาก มีโอกาสพลาดเยอะ และไม่ สามารถแก้ปัญหาโจทย์ที่ซับซ้อนได้
2. มีจินตนาการ เอาสิ่งรอบข้างมาประกอบความเข้าใจ และช่วยจำ เช่น ขณะขี่มอเตอร์ไซด์ นึกถึงเรื่อง ความเร็ว ความเร่ง เมื่อบิดรถให้ เร็วขึ้น รถจะมีความเร่ง เมื่อชะลอความเร็ว รถจะมีความหน่วง ขณะลากหรือผลักของบนพื้น นึกถึงเรื่องแรง และแรงเสียดทานที่กระทำกับของนั้น ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ นึกถึงแรงกริยา แรงปฏิกิริยาที่พื้นเก้าอี้กระทำกับก้น ขณะเห็นนักกีฬา ทุ่มน้ำหนัก พุ่งแหลน นึกถึงการเคลื่อนที่แบบโพรเจคไทล์ ขณะเห็นคนงานก่อสร้าง ใช้รอกหิ้วถังปูนขึ้นชั้นบน นึกถึงแรงตึงในเส้นเชือก น้ำหนักถังปูน
3.หมั่นฝึกฝนทำโจทย์ การได้ฝึกทำโจทย์เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนทุกวิชา เพื่อให้น้อง ๆ มีทักษะในการคิดและแก้ปัญหาโจทย์ การเรียน แบบเอาแต่จำและเข้าใจเฉพาะในห้องเรียน นั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้ง แลสามารถแก้ปัญหาโจทย์ข้อสอบ โดยเฉพาะข้อสอบแข่งขันเพื่อ เรียนต่อได้ ฉะนั้นหากอยากเก่งก็ต้องหมั่นฝึกฝนด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากโจทย์ตัวอย่างง่าย ๆ ก่อนแล้วค่อยทำโจทย์ที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีการ แก้ปัญหาโจทย์ฟิสิกส์สรุปขั้นตอนได้ดังนี้
3.1 อ่านและทำความเข้าใจโจทย์ที่ให้มาว่า โจทย์ต้องการให้หาอะไร
3.2 แปลความหมายโจทย์ให้เป็นรูปภาพ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ โดยการวาดรูปตามโจทย์ใส่ปริมาณต่าง ๆ ทั้งที่รู้ค่า และไม่รู้ค่าลงไป
3.3 เขียนสมการที่เกี่ยวข้องลงไป
3.4 แก้สมการ หาคำตอบ
4. มีพื้นฐานความรู้ทางคณิตศาสตร์ จาก ม.ต้น จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ จาก ม.ต้น มาช่วยแก้ปัญหาโจทย์ฟิสิกส์ ด้วย หากมีพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดี ก็จะช่วยให้แก้ปัญหาได้เร็ว และแม่นยำขึ้น ลองสำรวจตัวเองดูว่ามีความเข้าใจ หลักคณิตศาสตร์เหล่านี้หรือไม่ หากเข้าใจดีแล้วก็พร้อมที่จะเรียนฟิสิกส์ให้ได้ดี หากยังไม่เข้าใจให้ลองนึกคิดทบทวนและทำความเข้าใจเสีย ก่อนที่จะเริ่มเรียน
เทคนิคการสอนวิทยาศาสตร์ให้สนุก 7 ประการ

การคาดหมาย
(Expectation)
หมายถึง วัตถุประสงค์กว้างๆ เป็นแนว
ความคิดหรือการสร้างภาพกว้างๆ เกี่ยวกับบทเรียนขึ้นมา
ครูจะต้องมีความยืดหยุ่นที่จะ ปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์นี้ไปตามสถานการณ์
จึงจะมีประสิทธิภาพ เพราะหากเราจำกัดวัตถุ ประสงค์เกินไป ไม่เปิดกว้าง
จะทำให้ไม่สามารถเห็นความสนใจและความก้าวหน้าของ นักเรียนได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นผลสุดท้ายของวัตถุประสงค์จึงอาจจะถูกเปลี่ยนไปได้จาก
แรกเริ่มอย่างที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้ ตัวอย่างเช่น
ในการสอนเรื่องวงจรไฟฟ้า
วัตถุประสงค์เริ่มต้นนั้นมีเพียงแค่ให้นักเรียนเกิดความสนใจในรูปแบบของวงจร เปิด
วงจรปิด วงจรขนาน แต่เมื่อจบบทเรียนจริงๆ แล้วเด็กๆ อาจจะถึงกับสามารถสร้าง
เครื่องวิทยุอย่างง่ายๆ ขึ้นเองได้ ดังนั้นเมื่อเด็กๆ
รู้ว่าตนได้รับการเปิดกว้างในการเรียน วิทยาศาสตร์จากครูเต็มที่
เขาก็จะเริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ และค้นหาสิ่งที่อยากรู้มากขึ้น
สิ่งล่อใจ
(Enticement)
คือ
กิจกรรมที่จะสามารถชักชวนให้เด็กๆ สนใจ จะเรียนรู้ อาจจะออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น
การใช้วีดีโอ การเล่าเรื่องสั้น การจัดตกแต่ง ห้องเรียน การใช้เสียงประกอบ
ใช้อารมณ์ขันหรือการสาธิตให้ดู
การเข้าร่วมกิจกรรม
(Engagement)
ช่วยให้เกิดความเข้าใจใน
บทเรียน โดยอาจจะเป็นการนำเสนอหน้าชั้น การสาธิต หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน
การอธิบาย
(Explanation)
หลังจากที่ได้ช่วยกันพิจารณาวัตถุประสงค์
ที่ตั้งไว้จนเกิดความเข้าใจแล้ว ก็จะเป็นช่วงที่นักเรียนจะมีการอภิปรายร่วมกัน
ในการอธิบาย แนวความคิดหลักต่างๆ
ทั้งครูและนักเรียนอาจเป็นผู้ริเริ่มหัวข้าสนทนาได้ทั้งในกลุ่มเล็กและ กลุ่มใหญ่
แหล่งที่มาของข้อสนทนาก็อาจจะมาได้จากแหล่งต่างๆ นอกเหนือจากในหนังสือ
เรียนสื่อที่จะช่วยการอธิบายก็มีเช่น การใช้สมุดภาพ
การไปทัศนศึกษาเพื่อให้นักเรียนเห็น ของจริง ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
หรือห้องสมุดโรงเรียนก็จะเป็นแหล่งข้อมูลทั้งทางทฤษฎี และปฏิบัติ
นอกจากนี้กิจกรรมภายในบ้าน เช่น การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็ช่วยเชื่อมโยง
กับบทเรียนได้อีกด้วย
การค้นหา
(Exploration)
จะช่วยผลักดันให้นักเรียนพิจารณาความรู้
และประสบการณ์ที่มีอยู่ นำมาเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของชั้นเรียน
การทำกิจกรรมด้วย ตนเอง เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนวิทยาศาสตร์
และสิ่งนี้จะดึงดูดความสนใจนักเรียนและ จะช่วยทำให้บรรยากาศในชั้นเรียนดีขึ้นได้
การที่ครูจัดเตรียมอุปกรณ์การทดลอง และ การทดลองหลากหลายไว้ให้
จะช่วยเพิ่มขอบเขตความคิดของนักเรียน
การขยายความ
(Extension)
เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนนำความรู้
ของตนมาปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ รู้จักหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า
“มันจะเป็นอย่างไรถ้า…..”
ครูสามารถจะให้นักเรียนใช้ความรู้ของตนมาใช้ทดลองเองกับอุปกรณ์ที่มีอยู่ใน
ห้องเรียน ให้ทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน
เพื่อที่จะให้นักเรียนสามารถค้นพบคำตอบด้วยตนเอง
หลักฐาน
(Evidence)
เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนสะท้อนความรู้
ความคิดของตนออกมาทางการเขียนที่มิใช่การทำข้อสอบ นักเรียนจะต้องเขียนผลลัพธิ์ของ
การทดลองเพื่อฝึกการจัดระบบความคิด และเชื่อมโยงความคิดกับความรู้สึก
ประสบการณ์ที่มี และเรามีแนวการเขียนรายงานสั้นๆเรียกว่า ฟอร์ กอล์ฟเฟอร์ (FGOLFeRS) ซึ่งเป็นการ
เขียนรายงานที่เริ่มด้วยการวาดโครงร่างของกระบวนการและผลลัพธ์ของการทดลอง จากนั้น
ให้สะท้อนความรู้สึกในระหว่างที่ทำกิจกรรมนั้น เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผ่านมาและแนวคิด
ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ฟอร์ กอล์ฟ เฟอร์ประกอบด้วย
F
– Find
กล่าวถึงสิ่งที่เราต้องการจะค้นหา
โดยให้วัตถุประสงค์ของการทำการทดลองนั้นๆ
G
– Guess
กล่าวถึงผลลัพธ์ที่เราคาดเดาไว้ก่อนทำการทดลอง
O
– Order
กล่าวถึงลำดับขั้นของการทำการทดลอง
L
– Learn
กล่าวถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำการทดลองนั้น
Fe
– Feeling
เรามีความรู้สึกอย่างไรในระหว่างที่ทำการทดลอง
และรู้สึกอย่างไรหลังจากทดลองแล้วเสร็จ
R
– Remind
กล่าวถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลองนี้ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์อื่นๆที่ผ่านมาบ้างหรือไม่
และเกี่ยวข้องกันอย่างไร
S
– Science
คิดว่าการทดลองนี้มีผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันและอนาคตอย่างไร
เราคิดว่ามันมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
เพราะวิชาวิทยาศาสตร์จะต้องอิงอยู่กับการทดลองเสียเป็นส่วนมาก
ดังนั้น การเขียนรายงานจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงความเข้าใจในเนื้อหา
แต่อย่างไรก็ตามการ เขียนรายงานก็อาจจะต้องเสียเวลามาก ดังนั้นการประมวลความรู้
ร่วมกับเพื่อนๆ จะช่วยเพิ่มคุณภาพของการเขียนและลดเวลาที่ครู จะให้คะแนนลงไปได้
หรือเราอาจจะให้นักเรียนในกลุ่มเล็กๆ ช่วยกัน
เติมข้อความหรือวาดโครงร่างเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เรียน ได้ใช้กลยุทธ
ในการเรียนหลายๆ แบบ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้แนวคิดนี้
อาจกล่าวได้ว่าเป็นอิสรภาพ
ในการเลือกและเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับชีวิตจริงของเรา
สอนสร้างทัศนคติ เพื่อการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
กระบวนการเรียนรู้ที่สามารถบ่มเพาะความเชื่อและทัศนคติทีดีมีความสำคัญมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเนื้อหาทางวิชาการ
เพราะการเรียนรู้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความรู้
แต่เป็นกระบวนการที่ผลระยะยาวเกี่ยวข้องทั้งพฤติกรรมและทัศนคติด้วย
การสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเชื่อว่าจะทำให้บุคคลมีฉันทะซึ่งส่งผลให้พวกเขามีความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง
รวมถึงแนวโน้มที่จะประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริงต่างๆ ต่อไป ความเข้าใจใน Bloom’s Taxonomy เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็น
Cognitive Domain แต่เพียงอย่างเดียวนั้นจึงยังไม่เพียงพอ
เพราะการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ซับซ้อน
จำเป็นที่จะต้องออกแบบการสอนโดยมองไปถึงการพัฒนาทั้งด้านการคิด (Cognitive)
การเคลื่อนไหว (Psychomotor) และด้านอารมณ์/คุณค่า
(Affective) อย่างเชื่อมโยงกัน ไม่แยกส่วน
โดยให้ธรรมชาติของการเรียนรู้ทั้งสามมิตินี้ส่งเสริมกันและกัน (synergy)
ในทางจิตวิทยา ทัศนคติเป็นส่วนหนึ่งของความจำเป็นขั้นพื้นฐานด้านจิตวิทยาในการทำสิ่งหนึ่งๆ เช่น บุคคลมีความจำเป็นหรือความต้องการที่จะรู้ หรือความต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดบ้าง และทัศนคติส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ หลายคนอาจชินกับสิ่งที่เรียกว่า “จิตพิสัย” ซึ่งในแง่ของเป้าหมายการเรียนรู้ จิตพิสัยคือส่วนที่เป็นการเรียนรู้ด้าน Affective ตารางข้างล่างนี้แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
ตาราง แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
อ้างอิง : http://c4ed.lib.kmutt.ac.th/x-classroom/?p=911
ในทางจิตวิทยา ทัศนคติเป็นส่วนหนึ่งของความจำเป็นขั้นพื้นฐานด้านจิตวิทยาในการทำสิ่งหนึ่งๆ เช่น บุคคลมีความจำเป็นหรือความต้องการที่จะรู้ หรือความต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดบ้าง และทัศนคติส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ หลายคนอาจชินกับสิ่งที่เรียกว่า “จิตพิสัย” ซึ่งในแง่ของเป้าหมายการเรียนรู้ จิตพิสัยคือส่วนที่เป็นการเรียนรู้ด้าน Affective ตารางข้างล่างนี้แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
ตาราง แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
ปรับจากคู่มือวัดผลประเมินผลวิทยาศาสตร์, 2555 และ วิจารณ์ พานิช,
2556
ขอยกตัวอย่างในกรณีของการเรียนรู้ฟิสิกส์
ทัศนคติต่อการเรียนรู้ฟิสิกส์ไม่ใช่หมายความเพียงการมีความรู้สึกในทางบวกกับเนื้อหาวิชาแต่ต้องรวมไปถึงความรู้สึกชื่นชมในการคิดแบบนักฟิสิกส์
คุณค่าของฟิสิกส์ เช่น ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้ฟิสิกส์กับศาสตร์อื่นๆ ได้
การประยุกต์ใช้ฟิสิกส์กับชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหาด้วยความรู้ทางฟิสิกส์ เป็นต้น
ในแง่ของทัศนคติกับการเรียนรู้
มีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินทัศนคติของผู้เรียน
เพื่อศึกษาว่านอกจากเนื้อหาทางวิชาการที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนแล้ว
กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้บ่มเพาะความเชื่อและความรู้สึกของผู้เรียนอย่างไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น Colorado Learning
Attitudes about Science Survey (CLASS) ซึ่งวัดว่าผู้เรียนรับรู้
มีความรู้สึก และความเชื่อต่อการเรียนวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง
โดยมีการปรับใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของหลากหลายสาระวิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี
ชีววิทยา เป็นต้น ตัวอย่างข้อคำถามที่วัด เช่น การมองปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
การทำความเข้าในหัวข้อต่างๆ ของฟิสิกส์แบบเชื่อมโยงหรือแยกส่วน
วิธีการเรียนที่เน้นการจดจำข้อมูลและเนื้อหาเพื่อที่จะนำมาใช้โดยไม่ได้ฝึกคิดวิเคราะห์
(ทัศนคติแบบผู้เรียนแรกเริ่ม (novice) การมองว่าฟิสิกส์คือความเชื่อมโยงระหว่างหลักคิดต่างๆ
ที่ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้
การเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ (ทัศนคติแบบผู้เชี่ยวชาญ (expert))
เป็นต้น (สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Adams, W. K., et
al., “Design and Validation of the Colorado Learning Attitudes about Science
Survey”, ใน http://cosmos.colorado.edu/phet/
survey/CLASS/
ในส่วนของการวิจัยที่ศึกษาเรื่องทัศนคติกับการเรียนรู้มักจะเป็นการวัดผลจากคะแนนทดสอบและทัศนคติการเรียนรู้ซึ่งวัดก่อนเรียน-หลังเรียน
ว่ามีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์กันกับวิธีการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่
หรือศึกษาทัศนคติการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อทำนายถึงสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน
(วัดจากเกรดเฉลี่ย) โดยที่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่การอธิบายในความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ
ในส่วนของผลการศึกษานั้น ผลการวิจัยในแต่ละบริบทก็ให้ข้อค้นพบที่แตกต่างกัน เช่น
ทัศนคติต่อวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสัมฤทธิ์ผลในการเรียนวิทยาศาสตร์ (Perkins, K. K., et al, 2005) ขณะที่
บางงานวิจัยค้นพบว่าแม้ในห้องเรียนที่ปรับการเรียนการสอนให้เป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกมากขึ้น
เช่น มีอภิปรายกลุ่มย่อย
และพยายามใช้วิธีการประเมินที่ช่วยแก้ไขความเข้าใจในแนวคิดที่ผิด (misconceptions)
แต่หลังจากสิ้นสุดภาคเรียน
ผู้เรียนกลับมีความเชื่อและทัศนคติต่อฟิสิกส์แบบผู้เรียนแรกเริ่มมากกว่าก่อนเรียน
(Zeilik, M., Schau, C., & Mattern, N., 1998) หรือมีทัศนคติการเรียนรู้ต่อฟิสิกส์ที่ไม่ได้มีในทางบวกเพิ่มขึ้นเลย
แม้คะแนนการทดสอบของนักเรียนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในความเข้าใจในแนวคิดหลักของฟิสิกส์มากขึ้นก็ตาม
(Redish, E. F., Saul, J. M., & Steinberg, R. N., 1998)
การสร้างบรรยากาศให้เกิดการบ่มเพาะหล่อหลอมความคิดความเชื่อนี้
อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาของหลักสูตร แต่เป็นเสมือน hidden curriculum ที่ส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมาก
เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยให้การพัฒนาความรู้และทัศนคติเกิด
synergy ไปด้วยกัน ตัวอย่างเทคนิคที่ผู้สอนสามารถใช้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของวิชาหนึ่งๆ
เช่น
·
เชื่อมโยงเนื้อหาสาระให้เข้ากับความสนใจของผู้เรียน
ชี้ให้เห็นว่าการเรียนวิชานั้นในตอนนั้น เชื่อมโยงกับความสนใจของผู้เรียนอย่างไร
ซึ่งการจะจูงใจผู้เรียนในยุคปัจจุบันได้ ผู้สอนต้อง update ข้อมูลพอสมควรว่า trend
ของสังคมเป็นไปอย่างไร
·
งานที่ทำต้องสอดคล้องกับโลกแห่งชีวิตจริง เช่น
ทำโครงงานหรือกรณีศึกษาที่เป็นเรื่องจริง หรือจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบ work integrated learning
·
แสดงความสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เรียนเรียนอยู่ในปัจจุบัน เช่น เมื่อผู้เรียนสงสัยว่าเรียนวิชานั้นๆ
ไปทำไม และยังไม่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่ตนต้องการเรียน
ผู้สอนต้องพยายามหาตัวอย่างและนำเสนอเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น (Simplification) ว่าคุณค่าของการเรียนวิชาพื้นฐานช่วยในการเรียนวิชาเฉพาะทางของตนอย่างไร
เป็นต้น
·
ระบุความคาดหมายของผู้สอนให้ชัดเจนว่าผู้เรียนต้องเรียนให้รู้อะไร
(บางที Course syllabus ของวิชาอาจยังไม่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้มากพอ) ที่สำคัญคือว่าวิชานั้นๆ
มีประโยชน์อย่างไร ต้องทำอะไรได้ ในระดับความซับซ้อนเพียงใด
โดยช่วยแนะแนวขั้นตอนการเรียนรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเผชิญคืออะไรบ้าง
เหล่านี้คือการช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เรียนว่าสิ่งที่เรียนอยู่นั้นมีความหมายกับพวกเขาอย่างไร
และพวกเขาสามารถทำให้สำเร็จได้
การชี้แนะเหล่านี้ควรทำในหลายๆ ช่องทาง เช่น
เขียนถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวังอย่างชัดเจนใน course syllabus (ดูตัวอย่างของการเขียนคำอธิบายรายวิชาที่เน้น
learning goals ที่ http://www.colorado.edu/sei/departments /physicslearning.htm) รวมถึงการแจ้งวิธีการประเมิน
สิ่งที่จะประเมิน หากสามารถอธิบายองค์ประกอบและระดับของความรู้ความสามารถนั้นๆ
เป็น Rubrics ได้ จะเป็นการดี
·
มอบหมายงานที่ค่อนข้างง่ายก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความยาก เช่น
โครงงานขนาดเล็ก ใช้เวลาสั้นในการทำ และสัดส่วนคะแนนไม่มาก ก่อนที่จะยกระดับความซับซ้อนของงานที่ต้องการทั้งการใช้ความรู้และทักษะระดับสูงขึ้น
·
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกกิจกรรม เลือกเรื่องทำโครงงาน
เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เรียนและเป็นการควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียนไปด้วยในตัว
ที่สุดแล้ว เพื่อที่จะให้เกิดบรรยากาศและกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดทัศนคตินั้น
ผู้สอนต้องประเมินผลผู้เรียนเป็นระยะ ซึงการประเมินทัศนคติของผู้เรียนสามารถทำได้หลายวิธีการนอกจากการทำแบบสำรวจซึ่งเป็นรูปแบบการประเมินผลทางอ้อม
(Indirect) ควรลองทำการบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรม
การให้แก้โจทย์ปัญหาหรือมอบหมายงานที่แฝงให้ผู้เรียนแสดงออกถึงทัศนคติ
และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสะท้อนความคิด (Reflection) เหล่านี้เมื่อใช้เสริมแรงกันและสอดแทรกให้อยู่ในกระบวนการเรียนการสอน
(ไม่จำเป็นต้องแยกส่วนออกมาเพื่ออบรมบ่มเพาะทัศนคติกันโดยเฉพาะ)
และเมื่อผู้เรียนแสดงให้เห็นว่าทำได้ดีในเรื่องนั้นๆ ก็ควรแสดงออกถึงความชื่นชม
หรือใช้เทคนิคการให้รางวัลแก่ผู้เรียน
ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยสร้างเสริมทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558
ตัวอย่างข้อสอบวิชาฟิสิกส์ที่ใช้ในการฝึก
1.รถยนต์เคลื่อนที่ไปในแนวตรงด้วยความเร่งคงที่
10 เมตรต่อวินาที2 นาน 10
วินาที จะเคลื่อนไปได้ไกลเท่าไร
ก.
400 เมตร ข. 500 เมตร ค. 600 เมตร ง. 700 เมตร
2. รถยนต์กำลังเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วยความเร็วคงที่
90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อเคลื่อนที่มาถึงแนว A ดังรูป ปรากฏว่ามีคนข้ามถนนตรงแนว B ทำให้คนขับรถต้องเหยียบเบรกบังคับให้รถหยุดได้พอดีที่แนว
B ถามว่ารถแล่นด้วยความหน่วงเท่าไรในช่วง AB
ก. 10.0 เมตร / วินาที2 ข.
9.8 เมตร / วินาที2
ค. 10.4 เมตร / วินาที2 ง.
135 เมตร / วินาที
3.จุด A กับจุด
B อยู่ห่างกัน 75 เมตร ถ้าให้รถแล่นจากจุด A
ไป B จะต้องใช้เวลาเท่าได
โดยที่เริ่มต้นแล่นจาก A ด้วยความเร่งคงที่ 1 เมตรต่อวินาที2 ได้ระยะหนึ่งก็เบรกรถยนต์ด้วยความหน่วง
2 เมตรต่อวินาที2 ให้รถยนต์หยุดนิ่งที่จุด
B พอดี
ก.
12.5 วินาที ข.15.0
วินาที ค. 17.5 วินาที ง. 20.0 วินาที
4. รถยนต์วิ่งในแนวดิ่งเส้นตรงด้วยความเร่ง
15 เมตร ต่อวินาที2 คงที่ไปได้ทาง 40 เมตร ภายในเวลา 2 วินาที อยากทราบว่าภายใน 3
วินาที
รถยนต์จะวิ่งอย่างไร
ก. 5 เมตร/วินาที ข. 30 เมตร/วินาที
ค. 45 เมตร/วินาที ง. 50 เมตร/วินาที
5. ชายคนหนึ่งยืนบนยอดหน้าผาสูงเท่าไรไม่ปรากฏ
เขาโยนก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นไปในแนวดิ่งด้วยความเร็วต้น 10
เมตรต่อวินาทีปรากฏว่าก้อนหินใช้เวลา 5
วินาที จึงตกถึงพื้นดินข้างล่าง อยากทราบว่าหน้าผานี้สูงเท่าไร
6. ในการปรับให้น้ำหยดจากปลายยอดบิวเรตต์
ดังรูป
เมื่อหยดน้ำหยดแรกถึงพื้นขณะนั้นจะมีหยดน้ำหยดออกมาได้ 10
หยด
ถ้าพบว่าในเวลา 5 วินาทีมีน้ำหยดออกมาได้ 100
หยด อยากทราบว่า h จะเท่ากับกี่เชนติเมตร
ก. 50 ข.
75 ค. 100 ง. 125
7. ก้อนหินตกจากยอดตึกแห่งหนึ่ง
ถ้าปรากฏว่าระหว่างวินาทีสุดท้ายของตกจากก้อนหินนั้นได้ระยะทางเท่ากับ เท่าของความสูงของตึก อยากทราบว่าตึกสูงกี่เมตร
ก. 1 ข. 4/3 ค. 20/9 ง. 20
ก. 1 ข. 4/3 ค. 20/9 ง. 20
8. จากรูป
วัตถุจากหน้าผาสูงแห่งหนึ่งลงมา ปรากฏว่าขณะเคลื่อนที่ผ่านโขดหิน A และ B ซึ่งห่างกัน ข.4 เมตร จะกินเวลา
0.2 วินาที ถามว่ายอดหน้าผาสูงจากโขดหิน A เท่าไร
ก. 6.05 เมตร ข. 10.5 เมตร
ค. 60.5 เมตร ง. 65.0 เมตร
9.โยนวัตถุทั้งสองขึ้นไปในแนวดิ่ง โดยที่ก้อนหนึ่งมีความเร็วต้นเป็น 3 เท่าของอีกก้อนหนึ่ง
วัตถุก้อนนั้นจะขึ้นไปได้สูงสุดเป็นกี่เท่าของอีกก้อนหนึ่ง
ก.
3 เท่า ข. 6 เท่า ค. 9 เท่า ง. 12 เท่า
10.
ชายคนหนึ่งโยนก้อนหินขึ้นไปในแนวดิ่งด้วยความเร็วต้น 16 เมตรต่อวินาที
ขณะที่ก้อนแรกถึงจุดสูงสุดก็โยนก้อนหินก้อนที่สองขึ้นไปด้วยความเร็วต้นเท่ากัน
อยากทราบว่าก้อนหินทั้งสองก้อนจะชนกันตรงตำแหน่งที่สูงจากพื้นเท่าไร
ก. 10 เมตร ข. 9.6 เมตร ค. 16 เมตร ง. 6.4 เมตร

โมเดลปลาทู
โมเดลปลาทู (Tuna Model:thai-UNAids Model) คิดขึ้นโดย ดร.ประพนธ์
ผาสุกยืด
เป็นแนวทางเบื้องต้นในการจัดการความรู้ และในการทำความเข้าใจ 3
ส่วนหลักของการจัดการความรู้ว่าสัมพันธ์กับบุคคล 3 กลุ่ม ในการดำเนินการจัดการความรู้เปรียบการจัดการความรู้
เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี 3 ส่วนคือ
1. หัวปลา หมายถึง
เป้าหมายหลักของการดำเนินการจัดการความรู้ สะท้อน "วิสัยทัศน์ความรู้
หรือหัวใจของความรู้ เพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กร ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า
"เราจะทำ KM
ไปเพื่ออะไร " โดย "หัวปลา" จะต้องเป็น
"คุณกิจ" หรือผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด
บุคคลที่มีความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดหัวปลาที่ชัดเจน คือ
"คุณเอื้อ(ระบบ)"
2. ตัวปลา หมายถึง
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือการแบ่งปันความรู้ (KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
บุคคลสำคัญในการส่งเสริมให้เกิด "ตัวปลา" ที่ทรงพลังคือ
"คุณอำนวย" ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ "คุณกิจ"
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ที่ซ่อนเร้นที่อยู่ในตัว "คุณกิจ"
พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้
ยกระดับความรู้และเกิดนวัตกรรม
3. "หางปลา"
หมายถึง ขุมความรู้ (KA) ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผู้สกัดขุมความรู้ ออกมาจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และบันทึกไว้ใช้งานต่อ คือ
"คุณกิจ"
โดยที่การจดบันทึกขุมความรู้ อาจมี "คุณลิขิต" เก็บสะสม
"เกร็ดความรู้" ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
"ตัวปลา" ซึ่งอาจเก็บส่วนของ "หางปลา" ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด
นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558
เทคนิคการอ่านจับใจความ
ความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญ
คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด
ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่อ่าน เป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ
ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด
ใจความสำคัญ หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า
เป็นแก่นของย่อหน้าที่สามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่นๆ
ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อหน้านั้นได้
ถ้าตัดเนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยวๆ ได้
โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ
ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค
ใจความรอง หรือพลความ(พน-ละ-ความ)
หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยคใจความสำคัญ
เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น
อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำจำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ
หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความสำคัญ
และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด
หลักการจับใจความสำคัญ
๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน
๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ
และเก็บใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า
๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามตนเองว่า
เรื่องที่อ่าน มีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
๔.
นำสิ่งที่สรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความสละสลวย
วิธีจับใจความสำคัญ
วิธีการจับใจความมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความชอบว่าอย่างไร
เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สีต่างๆ กัน แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ
การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญที่ดี
แต่ผู้ที่ย่อควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเองไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียงต่อกัน
เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้
วิธีจับใจความสำคัญมีหลักดังนี้
๑. พิจารณาทีละย่อหน้า
หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า
๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้
เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การเปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ
ตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ
๓.
สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง
การพิจารณาตำแหน่งใจความสำคัญ
ใจความสำคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏดังนี้
๑. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า
๒. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า
๓. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า
๔.
ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้า
๕. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง
จากการอ่านทั้งย่อหน้า(ในกรณีใจความสำคัญหรือความคิดสำคัญอาจอยู่รวมในความคิดย่อย
ๆ โดยไม่มีความคิดที่เป็นประโยคหลัก)
อ้างอิงจาก https://kunkrunongkran.wordpress.com/
อ้างอิงจาก https://kunkrunongkran.wordpress.com/
บทที่ 4 การเขียนสรุปและการเผยแพร่สู่คลังความรู้
จากการประชุมที่ผ่านมา
โดยใช้โมเดลปลาทูเป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหากรณีศึกษา
(Case
Study) และได้นำไปสู่การเผยแพร่สู่คลังความรู้ โดยมี Blogger
เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ซึ่งจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้และยกระดับต่อไป
วิสัยทัศน์ การศึกษาการจัดการความรู้ ตามโมเดลปลาทู
สู่การแก้ไขปัญหา Case
Study พร้อมเผยแพร่แลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้และยกระดับต่อไป
เป้าหมาย
ปัญหานักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางวิชาฟิสิกส์
จุดประสงค์
1.เพื่อหาสาเหตุของการขาดทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ทางฟิสิกส์
2.เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาการขาดทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ทางฟิสิกส์
การวิเคราะห์หาสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหา
1. สาเหตุของปัญหาที่ทำให้นักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ปัญหาทางวิชาฟิสิกส์
1.1
นักเรียนยังขาดความรู้และทักษะทางคณิตศาสตร์
1.2
ปัญหาในการอ่านของนักเรียน
1.3
นักเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาฟิสิกส์
1.4
วิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจของครูผู้สอน
1.5
ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาทางวิชาฟิสิกส์ที่ค่อนข้างมาก
2. แนวทางในการแก้ไขปัญหา
2.1 พยายามให้นักเรียนฝึกทำโจทย์ทางคณิตศาสตร์และโจทย์ทางฟิสิกส์บ่อยๆ
2.2 สอนให้นักเรียนรู้จักการอ่านที่ถูกต้อง
อ่านให้เข้าใจ รู้จักจับใจความสำคัญของโจทย์ปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
2.3 ปรับทัศนคติที่ไม่ดีของนักเรียนที่มีวิชาฟิสิกส์โดยการจัดการเรียนการที่ดึงดูดความสนใจ
มีวิธีสอนที่หลากหลาย เสริมกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
2.4 จัดการเรียนการสอนโดยมีกิจกรรมการทดลองเพื่อสร้างความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง
2.5 ให้มีการปรับปรุงแผนการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียน
มีความกะทัดรัดและชัดเจนในส่วนของเนื้อหาที่สำคัญ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)