วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 3 กิจกรรมระดมความคิดตามโมเดลปลาทู (ตัวปลา)

บทที่ 3
กิจกรรมระดมความคิดตามโมเดลปลาทู (ตัวปลา)
          ในกิจกรรมนี้จะเป็นการระดมความคิดเพื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาตามจุดประสงค์ที่ได้จากการประชุมครั้งที่แล้วและคิดหาวิธีที่จะนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่สู่คลังความรู้ต่อไป โดยครั้งนี้ก็จะเป็นการจัดการประชุมเพื่อระดมความคิดตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้ ดังนี้
          ประธาน นายวัชระ  พรหมลา  ได้กล่าวในที่ประชุมว่า การจัดการประชุมครั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกคนช่วยกันวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหานั้นก็คือ ปัญหานักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางฟิสิกส์ และก็หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แล้วให้ทุกคนระดมความพร้อมเสนอออกมาในที่ประชุม
          อันดับแรกจะเป็นการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางฟิสิกส์ โดยมีการเสนอดังนี้
1.        นายบดินทร์  วงศ์หาโคตร  ได้เสนอว่า  ในการคำนวณโจทย์ทางฟิสิกส์นั้นต้องอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งถ้านักเรียนยังขาดความรู้และทักษะทางคณิตศาสตร์ก็อาจะทำให้การคำนวณโจทย์ทางฟิสิกส์มีปัญหาได้
2.        นางสาวอริสา  บาศรี  ได้เสนอว่า  การอ่านโจทย์ปัญหาทางฟิสิกส์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญต้องอ่านให้เข้าใจและจับใจความสำคัญของโจทย์ให้ได้ ถ้านักเรียนอ่านด้วยความเร่งรีบก็จะทำให้ตีความหมายของโจทย์ออกมาผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถแก้ไข้โจทย์ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
3.       นางสาวชุดดาพร  มะลาศรี  ได้เสนอว่า  นักเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาฟิสิกส์เพราะนักเรียนอาจคิดว่าฟิสิกส์เป็นวิชาที่เข้าใจยากมีแต่การคำนวณ จึงส่งผลให้นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ปัญหาที่ตามมาก็คือไม่เข้าใจในบทเรียนนั้น ไม่สามารถที่จะคำนวณโจทย์ทางฟิสิกส์ได้
4.       นางสาวนนท์ธิกานต์  โชติพรม  ได้เสนอว่า  ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือวิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจพอ ซึ่งอาจารย์ส่วนใหญ่มีการสอนแบบดั่งเดิม เช่นการสอนที่ใช้การอ่านตามหนังสือ โดยไม่สนใจว่าเด็กจะจดทันหรือเรียนรู้เรื่องหรือเปล่า
5.       นางสาวเปรมวดี  ศรีจันทร์  ได้เสนอว่า  วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่มีเนื้อหาค่อนข้างมาก มีทั้งทฤษฎีและสูตรที่ต้องจำอีกมากมาย ซึ่งอาจจะทำให้นักเรียนทำความเข้าใจในเนื้อหาไม่ทันและเกิดปัญหาต่างๆตามมา
               ประธานได้กล่าวสรุปสิ่งที่ได้จากการประชุมว่า ในการประชุมครั้งนี้เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหานักเรียนขาดทักษะการคำนวณโจทย์ทางวิชาฟิสิกส์ โดยมีดังนี้
1. สาเหตุของปัญหาที่ทำให้นักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ปัญหาทางวิชาฟิสิกส์ คือ
1.1  นักเรียนยังขาดความรู้และทักษะทางคณิตศาสตร์
1.2  ปัญหาในการอ่านของนักเรียน
1.3  นักเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาฟิสิกส์
1.4  วิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจของครูผู้สอน
1.5  ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาทางวิชาฟิสิกส์ที่ค่อนข้างมาก
อันดับต่อไปก็จะเป็นการหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ตามสาเหตุที่ได้ร่วมกันวิเคราะห์ออกมาทั้ง 5 ข้อนั้น โดยมีการเสนอออกมาดังนี้
1.       นางสาวปริมประภา  ปราสาน  ได้เสนอว่า  พยายามให้นักเรียนฝึกทำโจทย์ทางคณิตศาสตร์และโจทย์ทางฟิสิกส์บ่อยๆ เพราะการทำโจทย์บ่อยๆจะทำให้นักเรียนมีประสบการณ์มากขึ้น
2.       นางสาวสุดารัตน์  หนูศรีแก้ว  ได้เสนอว่า  สอนให้นักเรียนรู้จักการอ่านที่ถูกต้อง อ่านให้เข้าใจ รู้จักจับใจความสำคัญของโจทย์ปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
3.       นางสาวนิตตยา  ชุมจันทร์  ได้เสนอว่า  ควรปรับทัศนคติที่ไม่ดีของนักเรียนที่มีวิชาฟิสิกส์โดยการจัดการเรียนการที่ดึงดูดความสนใจ มีวิธีสอนที่หลากหลาย เสริมกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
4.       นางสาวกนกภรณ์  โพธิ์เขียว  ได้เสนอว่า  ควรจัดการเรียนการสอนโดยมีกิจกรรมการทดลองเพื่อสร้างความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง การปฏิบัติกิจกรรมการทดลองของนักเรียนนับว่าเป็นหัวใจของการเรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งในการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ก็เป็นเดียวกัน ดังนั้น การวางแผนการดำเนินการปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง การวัดและประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมการทดลองจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะส่งเสริมนักเรียนเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ได้อย่างแท้จริง
5.       นายวัชระ  พรหมลา  ได้เสนอว่า  ให้มีการปรับปรุงแผนการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียน มีความกะทัดรัดและชัดเจนในส่วนของเนื้อหาที่สำคัญ
ประธานได้กล่าวสรุปสิ่งที่ได้จากการประชุมว่า ในการประชุมครั้งนี้เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยมีดังนี้
1. แนวทางในการแก้ไขปัญหา
1.1  พยายามให้นักเรียนฝึกทำโจทย์ทางคณิตศาสตร์และโจทย์ทางฟิสิกส์บ่อยๆ
1.2  สอนให้นักเรียนรู้จักการอ่านที่ถูกต้อง อ่านให้เข้าใจ รู้จักจับใจความสำคัญของโจทย์ปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
1.3  ปรับทัศนคติที่ไม่ดีของนักเรียนที่มีวิชาฟิสิกส์โดยการจัดการเรียนการที่ดึงดูดความสนใจ มีวิธีสอนที่หลากหลาย เสริมกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
1.4  จัดการเรียนการสอนโดยมีกิจกรรมการทดลองเพื่อสร้างความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง
1.5  ให้มีการปรับปรุงแผนการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียน มีความกะทัดรัดและชัดเจนในส่วนของเนื้อหาที่สำคัญ
หลังจากมีการเสนอความคิดได้อย่างครบถ้วนตามประเด็นที่ตั้งไว้แล้ว ประธานได้ให้ทุกคนเสนอความคิดว่าจะนำความรู้ที่ได้นี้ไปเผยแพร่สู่คลังความรู้ด้วยวิธีใด โดยมีการเสนอดังนี้
นายบดินทร์  วงศ์หาโคตร  ได้เสนอให้ทำ Blogger เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่ได้นั้นไปเผยแพร่          ซึ่ง Blogger ก็เป็นทางเลือกที่ดี Blogger คือเว็บไซน์สำเร็จรูปของทาง Google ที่ปล่อยให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้เผยแพร่สิ่งต่างๆได้อย่างกว้างขวางบนโลกอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นคลังความรู้ที่ใหญ่ที่สุดและง่ายต่อการค้นหาสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะศึกษา
สมาชิกทุกคนในกลุ่มเห็นด้วยกับการนำ Blogger มาเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้สู่คลังความรู้บนโลกอินเตอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุด
1.      วิธีที่จะนำความรู้ไปเผยแพร่สู่คลังความรู้
คือ การนำ Blogger มาเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้สู้คลังความรู้บนอินเตอร์เน็ต
 

บทที่ 2 การประชุมเพื่อหาเป้าหมายและจุดประสงค์ตามโมเดลปลาทู (หัวปลา)

วิสัยทัศน์  การศึกษาการจัดการความรู้ ตามโมเดลปลาทู สู่การแก้ไขปัญหา Case Study พร้อมเผยแพร่แลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้และยกระดับต่อไป
          จากการศึกษาเรื่องการจัดการความรู้ ตามโมเดลปลาทูทางกลุ่มได้จัดการประชุมขึ้นมาเพื่อหาเป้าหมายและจุดประสงค์ของการเรียนรู้ ในหัวข้อของกรณีศึกษา (Case study) ที่ได้จากการไปสังเกตการสอนในรายวิชาการฝึกปฏิบัติงานวิชาชีพครูระหว่างเรียน ภาคเรียนที่ 1 ประจำปี 2558 โดยมีสมาชิกทั้งหมด 10 คนและให้แต่ละคนเสนอปัญหาที่ตนเองไปศึกษามา แล้วลงมติร่วมกันว่าปัญหาไหนเหมาะสมที่จะนำมาศึกษามากที่สุดพร้อมช่วยกันกำหนดจุดประสงค์ของปัญหานั้น ในการประชุมครั้งนี้ได้จัดการแต่งตั้งคณะกรรมขึ้น ดังนี้

1.     นายวัชระ  พรหมลา                                ประธาน
2.     นางสาวเปรมวดี  ศรีจันทร์                              รองประธาน
3.     นางสาวอริสา  บาศรี                                       เลขานุการ
4.     นางสาวนนท์ธิกานต์  โชติพรม                          กรรมการ
5.     นางสาวชุดาพร  มะลาศรี                                 กรรมการ
6.     นางสาวนิตตยา  ชุมจันทร์                                กรรมการ
7.     นายบดินทร์  วงศ์หาโคตร                                 กรรมการ
8.     นางสาวสุดารัตน์  หนูศรีแก้ว                             กรรมการ
9.     นางสาวปริมประภา  ปราสาน                      กรรมการ
10.  นางสาวกนกภรณ์  โพธิ์เขียว                                 กรรมการ
ในขั้นตอนแรกประธาน นายวัชระ  พรหมลา ได้กล่าวในที่ประชุมในครั้งนี้ว่า การประชุมในครั้งนี้ได้จัดตั้งขึ้นก็เพื่อหาเป้าหมายและจุดประสงค์ที่จะศึกษาเกี่ยวกับกรณีศึกษาที่แต่ละคนได้ไปศึกษามาแล้วนั้น โดยผมจะให้แต่ละคนได้เสนอปัญหาที่ตนเองได้ไปศึกษามาและปัญหาที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้จะเป็นเป้าหมายในการศึกษาและหาจุดประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหานี้ต่อไปประธานเปิดโอกาสให้สมาชิกได้เสนอปัญหาของตัวเอง โดยมีผู้เสนอ ดังนี้
1.     นางสาวเปรมวดี  ศรีจันทร์  ได้เสนอว่า ให้ศึกษาเกี่ยวกับ การลดพฤติกรรมของนักเรียนที่ก่อกวนการเรียนการสอนในคาบวิชาฟิสิกส์
2.     นางสาวนนท์ธิกานต์  โชติพรม  ได้เสนอว่า  ให้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ปัญหานักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางวิชาฟิสิกส์
3.     นางสาวชุดาพร  มะลาศรี ได้เสนอว่า ให้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ปัญหานักเรียนไม่กล้าแสดงออก

4.     นางสาวอริสา  บาศรี ได้เสนอว่า ให้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ปัญหานักเรียนไม่ส่งการบ้านในรายวิชาฟิสิกส์

5.     นางสาวปริมประภา  ปราสาน ได้เสนอว่า ให้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ปัญหานักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจในรายวิชาฟิสิกส์
6.     นางสาวกนกภรณ์  โพธิ์เขียว  ได้เสนอว่า ให้ศึกษาเกี่ยวกับ ปัญหาเทคนิคการสอนของครูผู้สอนที่ล่าสมัย

ในการประชุมมีผู้เสนอหัวข้อเพียง 6 คน และประธานได้ให้สมาชิกลงมติกันว่าควรที่จะเลือกหัวข้อไหนเป็นเป้าหมายในการศึกษาโดยการยกมือเพื่อความเป็นประชาธิปไตย และได้ข้อสรุปว่าสมาชิกที่เหลือได้เลือกหัวข้อของ นางสาวนนท์ธิกานต์  โชติพรม ในเรื่องปัญหานักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางวิชาฟิสิกส์

ขั้นตอนต่อไปประธานได้ให้สมาชิกทุกคนร่วมกันเสนอจุดประสงค์ในการศึกษาปัญหานักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางวิชาฟิสิกส์ ดังนี้

1.        นางสาวนิตยา  ชุมจันทร์  ได้เสนอว่า  เพื่อหาสาเหตุของการขาดทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ทางฟิสิกส์

2.        นายบดินทร์  วงศ์หาโคตร  ได้เสนอว่า  เพื่อหาสาเหตุของนักเรียนที่ไม่สามารถวิเคราะห์โจทย์ทางฟิสิกส์ได้

3.        นางสาวสุดารัตน์  หนูศรีแก้ว ได้เสนอว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์

              ในขั้นตอนนี้มีผู้เสนอจุดประสงค์ขึ้นมา 3 คน แล้วประธานได้ให้สมาชิกทุกคนช่วยกันคิดและคัดเลือกว่าจุดประสงค์ไหนเหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายมากที่สุดที่จะนำมาศึกษาในขั้นต่อไป
           สมาชิกทุกคนได้ร่วมกันคิดและเลือกจุดประสงค์ที่คิดว่าสอดคล้องกับเป้าหมายมากที่สุดได้ 2 ข้อคือ
1.        เพื่อหาสาเหตุของการขาดทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ทางฟิสิกส์
2.        เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์
ขั้นตอนสุดท้ายประธานได้กล่าวสรุปผลการประชุมเพื่อหาเป้าหมายและจุดประสงค์ ซึ่งมีดังนี้
          เป้าหมายที่ได้จากการประชุมคือ ปัญหานักเรียนขาดทักษะในการคำนวณโจทย์ทางวิชาฟิสิกส์
          จุดประสงค์ที่ได้จากเป้าหมายคือ
                   1.   เพื่อหาสาเหตุของการขาดทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ทางฟิสิกส์
2.   เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาการขาดทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ทางฟิสิกส์
          และประธานก็ได้กล่าวปิดการประชุมในครั้งนี้

บทที่ 1 บทนำ


ความหมาย ความสำคัญ และความสัมพันธ์ของการจัดการความรู้กับการจัดการสารสนเทศ
          ความรู้เป็นปัจจัยสำคัญขององค์การที่มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Beerli et al. 2003 and Rumizen 2002) และเนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันกันด้วยความรู้ทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและการบริการที่แตกต่างเป็นที่ต้องการของลูกค้าในการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้จำเป็นต้องเข้าใจความหมายและประเภทของความรู้ก่อน
1.ความหมายของความรู้และองค์ความรู้
         ความรู้ (Knowledge) หมายถึง สิ่งที่สะสมจากการศึกษาเล่าเรียน  การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมถึงความสามารถเชิงปฏิบัติการและทักษะ (พจานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ..2542, 2546: 232) หรือความรู้เป็นการผสมผสานประสบการณ์และสารสนเทศที่ได้รับเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม  ความรู้จึงเป็นสภาวะที่เกิดจากการผสมผสานที่ลงตัวของการรับรู้  ความจำ ความคิด และความรู้สึก และมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูล  สารสนเทศ  และปัญญา 
          ข้อมูล (data) เป็นข้อมูลดิบที่เป็นข้อเท็จจริง  เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล  และการตีความ  และเมื่อข้อมูลผ่านการประมวลผลก็จะกลายเป็นสารสนเทศ  ดังนั้น สารสนเทศ (information) จึงเป็นข้อมูลที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์  วิเคราะห์และปรับแต่งให้อยู่ในรูปแบบที่นำมาใช้ประโยชน์ได้  มีคุณค่าสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม ซึ่งคุณค่าของสารสนเทศขึ้นอยู่กับความต้องการการใช้งานของผู้ใช้แต่ละกลุ่มและเมื่อสารสนเทศผ่านกระบวนการคิด  การเปรียบเทียบ  การเชื่อมโยงกับประสบการณ์และความรู้อื่น ก็จะกลายเป็นความรู้ (Knowledge) ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความเข้าใจในการนำไปใช้งานและใช้ประกอบการตัดสินใจได้  ความรู้บางอย่างสามารถพัฒนาต่อเป็นปัญญา (wisdom) ซึ่งเป็นความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆตามสภาพที่เป็นจริง  เป็นการรู้ถึงเหตุและผล เพื่อเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดของแต่ละบุคคล
          จากรายละเอียดด้านต้นอาจกล่าวได้ว่า  ความรู้เป็นสารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ  เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคนให้มีความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม  ความรู้จึงเป็นสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง  การใช้ความรู้นั้นยิ่งใช้ยิ่งทำให้เกิดคุณค่าต่อผู้ใช้และองค์การ  และยังทำให้เกิดการเรียนรู้ในระดับบุคคลและระดับองค์การอีกด้วย
          การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด ทักษะและเจตคติ  โดยอาศัยกระบวนการที่หลากหลาย เป็นการเรียนรู้จากการได้ยิน  การอ่าน  การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น ทำให้เกิดเป็นองค์ความรู้ (body of knowledge) ซึ่งหมายถึง ความรู้ที่เป็นความคิดรวบยอดที่เป็นแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ที่ได้มาจากการกลั่นกรอง การวิเคราะห์  และสังเคราะห์จนตกผลึก  แล้วนำมาบูรณาการเป็นระบบความรู้ในระดับที่สูงขึ้น  หรือเป็นกรอบความคิดที่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม  โดยกำหนดขอบเขตได้เฉพาะเจาะจงในศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่ง  และสามารถเผยแพร่ถ่ายทอดและนำไปใช้ประโยชน์ได้ (ภรณี ต่างวิวัฒน์ 2554: 1-9)
2. ประเภทของความรู้และระดับความรู้
          2.1 ประเภทของความรู้ (Nonaka, 1994; Polanyi, 1966) จำแนกได้เป็น 2 ประเภท  ได้แก่
          2.1.1 ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) เป็นความรู้ที่ฝังอยู่ลึกในตัวบุคคล   เกิดขึ้นจากประสาทสัมผัสและประสบการณ์ต่างๆ ที่สั่งสมในตัวบุคคลนั้นๆ (Spender, 1996) และไม่ปรากฏอย่างชัดแจ้งเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ยากในการสื่อสารในรูปแบบของตัวอักษรหรือตัวเลขและถ่ายทอดอย่างเป็นระบบได้  การสร้างความรู้ประเภทนี้จะต้องใช้การฝึกฝนเพื่อสั่งสมประสบการณ์และสร้างความเข้าใจในความรู้นั้น ดังนั้น จึงเป็นแบบแผนที่มักจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อและความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (Hussi, 2004)
          2.1.2 ความรู้ชัดแจ้ง (explicit knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถนำมาเขียนถ่ายทอดเป็นกฏเกณฑ์  สูตร  สมการ  หรือการแทนด้วยตัวหนังสือ  สามารถกำหนดนิยามได้อย่างชัดเจน  องค์การต่างๆพยายามหาทางจัดเก็บและรวบรวมความรู้โดยเน้นให้ผู้รู้ถ่ายทอดหรือจัดเก็บความรู้ไว้ในระบบเพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์การ  ความรู้ชัดแจ้งเป็นความรู้ที่สามารถนำมาจัดทำเป็นรูปแบบของเอกสารได้ (Polanyi, 1966) โดยสามารถที่จะจัดทำในรูปของข้อความ (text) แผนภาพ (diagram) แผนผัง (chart) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (software) ตลอดจนใช้ในการเปรียบเทียบรูปแบบที่ใกล้เคียงกันได้ (Hedlund, 1994) ดังนั้น จึงเป็นความรู้ที่ใช้ในการพัฒนาแนวคิดและทำการกลั่นกรอง  วิเคราะห์ และสังเคราะห์ให้เกิดการตกผลึกทางปัญญาและจัดเก็บในระบบสารสนเทศได้ (Hussi, 2004)
          จากการศึกษาวิจัยพบว่า ความรู้ขององค์การส่วนใหญ่จะเป็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวบุคคล (Cook and Yanow, 1993) โดยมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมและความชำนาญในการทำงานของบุคลากรแต่ละคน  ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการปรับปรุงข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นให้มีรูปแบบที่ชัดเจนเป็นลักษณะของความรู้ชัดเจน  ซึ่งความรู้เหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีอิทธิพลต่อองค์การในกระบวนการตัดสินใจ
          นอกจากนี้ยังมีการจำแนกลักษณะและประเภทของความรู้ที่มีออกเป็นความรู้ทางสังคมและความรู้ส่วนบุคคล (Camp Da, 1976) โดยความรู้ทางสังคมจะเป็นความรู้ที่รวบรวมในระบบสังคม  ซึ่งสมาชิกทุกคนจะสามารถเข้าถึงความรู้ที่มีได้  ส่วนความรู้ส่วนบุคคลเป็นความรู้ที่อยู่ภายในแต่ละบุคคล  ซึ่งจะสามารถเข้าใจและรับรู้ได้ด้วยบุคคลนั้น  ได้แก่ ความรู้เฉพาะและความรู้ทั่วไป (Jenson and Meckling, 2001) ซึ่งมีมุมมองในการใช้และพิจารณาจากการถ่ายโอนความรู้  โดยความรู้ที่เป็นความรู้เฉพาะจะเป็นความรู้ที่มีค่าใช้จ่ายสูงในการถ่ายโอนไปยังผู้อื่น  ส่วนความรู้ทั่วไป  เป็นความรู้ที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงในการถ่ายโอนไปยังผู้อื่น
          2.2 ระดับความรู้  จำแนกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
          2.2.1 ระดับความรู้ของบุคคล (individual knowledge) หมายถึง ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ สัญชาตญาณของแต่ละบุคคล
          2.2.2 ระดับความรู้ของกลุ่ม (group knowledge) เป็นการกำหนดความรู้ที่แต่ละกลุ่มคนในแต่ละสาขาวิชาชีพที่มีความสนใจร่วมกัน  และต้องการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในเรื่องเดียวกัน
          2.2.3 ระดับความรู้ขององค์การ (organizational knowledge) เป็นการสำรวจความรู้เชิงกลยุทธ์ที่องค์การมีอยู่และเป็นที่ต้องการขององค์การ  แล้วนำมาจัดการเพื่อสร้างความรู้เชิงกลยุทธ์

3. ความหมายของการจัดการความรู้
         การจัดการความรู้ (knowledge management) ได้มีการให้ความหมายไว้มากมาย  ได้แก่
         การจัดการความรู้  เป็นกระบวนการที่ดำเนินการร่วมกันโดยผู้ปฏิบัติงานในองค์การ หรือหน่วยงานย่อยขององค์การ  เพื่อสร้างและใช้ความรู้ในการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิม หรือ
          การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่เป็นวงจรต่อเนื่อง  ทำให้เกิดการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนางานและพัฒนาคน  โดยมีความรู้และกระบวนการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ
          การจัดการความรู้จึงเป็นกระบวนการในการรวบรวมและจัดเก็บความรู้ ความชำนาญ ไม่ว่าความรู้นั้นจะอยู่ในคอมพิวเตอร์ เอกสาร หรือตัวบุคคล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุคลากรได้รับความรู้และเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากเดิมทำให้เกิดประสบการณ์และความชำนาญเพิ่มขึ้น (Stair 2001 : 202)
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาข้าราชการ และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (2548) ได้ให้ความหมายของการจัดการความรู้ว่า เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์การ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสารมาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์การสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฎิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันส่งผลให้องค์การมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด
          การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ เพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการไปพร้อมๆกัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาองค์การไปสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (วิจารย์ พานิช 2458)
          สรุปได้ว่า การจัดการความรู้ หมายถึง การกำหนดความรู้เชิงกลยุทธิ์ (Strategic knowledge)ที่องค์การต้องการเพื่อรวบรวมองค์ความรู้นั้นให้เป็นคลังความรู้ขององค์การ เพื่อให้ทุกคนในองค์การสามารถเข้าถึงความรู้นั้นได้ และเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง รวมทั้งการปฎิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้เกิดองค์การแห่งการเรียนรู้ ทั้งนี้ ความรู้เชิงกลยุทธิ์จะต้องสอดคล้องกับกลยุทธิ์และวัตถุประสงค์ขององค์การ การจัดการความรู้ จึงเป็นเสมือนเครื่องมือในการบริหารองค์การสมัยใหม่ ที่มีกลยุทธิ์และกระบวนการในการจัดหาและรวบรวม จัดระบบ และนำความรู้มาใช้ประโยชน์ เพื่อช่วยให้องค์การประสบความสำเร็จตามเป้าหมายและการสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพขององค์การให้สามารถแข่งขันได้
ดังนั้น การจัดการความรู้จึงจำเป็นต้องมีการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่สนับสนุนให้คนในองค์การมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งการกระตุ้นให้บุคลากรในองค์การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นที่ตั้ง ซึ่งถือเป็นการยกระดับความรู้ขององค์การ โดยเน้นการที่บุคคลสามารถประยุกต์ของแต่ละองค์การคืออะไร ซึ่งแต่ละองค์การจะมีความรู้เชิงกลยุทธ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายที่ต้องการจะเป็น การกำหนดวิธีการที่ทำให้คนในองค์การเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือได้รับความรู้นั้น แลจะใช้ประโยชน์จากคลังความรู้
4. ความสำคัญของการจัดการความรู้
          การจัดการความรู้มีความสำคัญในการพัฒนางานให้มีคุณภาพและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งการพัฒนาคนให้ใช้ประโยชน์จากความรู้ขององค์การ มีการพัฒนาฐานความรู้หรือคลังความรู้ขององค์การ และการสร้างวัฒนธรรมองค์การให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความสำคัญของการจัดการความรู้ มีรายละเอียดดังนี้
          4.1 การสร้างคลังความรู้ การจัดการความรู้ทำให้ความรู้ในองค์การที่มีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีการสร้างความทรงจำขององค์การ (organization memory)เป็นหน่วยบันทึกและจัดเก็บความรู้ขององค์การ และบทเรียนต่างๆที่เกิดขึ้นในองค์การ มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ทำให้คนในองค์การเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้าความรู้ แลกเปลี่ยนและเข้าถึงความรู้ได้ง่ายส่งผลให้องค์การมีทิศทางในการนำความรู้เหล่านั้นไปประยุกต์ในงานด้านต่างๆ
          4.2 การถ่ายทอดความรู้ การจัดการความรู้ที่ผ่านมาในอดีตนั้นได้มีการจัดทำและถ่ายทอดในรูปแบบต่างๆ เช่น พงศาวดาร การสืบทอดประเพณีหรือวัฒนธรรม ซึ่งไม่ได้จัดทำให้เป็นระบบอย่างชัดเจนทำให้ยากต่อการนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ในการพัฒนาองค์การนั้นๆได้ สำหรับปัจจุบันการจัดการความรู้เป็นกระวนการที่ทำอย่างเป็นระบบ มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์จึงทำให้การถ่ายทอดองค์ความรู้เป็นไปอย่างมีระบบและกว้างขวางมาขึ้น
4.3 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ปัจจุบันองค์การแทบทุกแห่งมุ่งที่จะก้าวสู่องค์การแห่งการเรียนรู้ โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การสร้างชุมชนนักปฎิบัติ การสร้างวัฒนธรรมให้คนในองค์การเข้ามาแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันและกัน เป็นต้น
4.4 การพัฒนาศักยภาพขององค์การ การจัดการความรู้ช่วยสร้างศักยภาพในด้านต่างๆ ให้แก่องค์การ ได้แก่ การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน การเป็นองค์การคุณภาพและองค์การแห่งการเรียนรู้การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์การ การเพิ่มผลประกอบการที่ดีขึ้น
4.5 การยกระดับความรู้ของคนในองค์การ การจัดการความรู้ช่วยในการพัฒนาบุคลากรขององค์การให้มีความรู้ในการปฎิบัติงานที่ดีขึ้น ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ การป้องกันความรู้สูญหาย การพัฒนาความสามารถในการปรับตัว และมีความยืดหยุ่นรวมทั้งการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ การพัฒนาลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ การสร้างความพึงพอใจ เพิ่มยอดขายหรือผู้ใช้บริการ และสร้างรายได้ให้แก่องค์การ
4.6 เครื่องมือการบริหารองค์การ การจัดการความรู้ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารองค์การให้มีประสิทธิภาพโดยมีการประกันคุณภาพขององค์การ การก้าวสู่องค์การแห่งการเรียนรู้ และการพัฒนาสู่การเป็นองค์การที่มีประสิทธิภาพสูงหรือองค์การที่เป็นเลิศ สำหรับรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้กับการประกันคุณภาพ สามารถศึกษารายละเอียดได้จากหน่วยที่ 9
5. ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้กับการจัดการสารสนเทศ
          การจัดการความรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการจัดการสารสนเทศ เพราะสารสนเทศ(information) เกิดจากการนำข้อมูล (data) มาผ่านกระบวนการแปลงสภาพเดิมหรือผ่านกระบวนการในระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า การประมวลข้อมูล(data processing) จนกลายเป็นสารสนเทศ และเมื่อมีการนำสารสนเทศนั้นไปใช้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ จึงทำให้ผู้รับสารสนเทศได้รับความรู้ (knowledge) เพื่อนำไปใช้ในการทำงานและประกอบการตัดสินใจ ดังนั้น คำว่า ข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ จึงเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
6. ความหมายของจุดประสงค์
      จุดประสงค์  หมายถึง จุดที่ต้องพยายามไปให้ถึงเป็นสิ่งที่หวังไว้ในอนาคต  เป็นเครื่องบอกทิศทางให้ผู้ทำงานอย่างหนึ่งพยายามไปให้ถึงจุดนั้น  เปรียบเสมือนผู้กำหนดทิศทาง  ดังนั้นจุดมุ่งหมาย       ทางการศึกษาจึงเป็นการกำหนดทิศทางของกิจกรรมทางการศึกษาให้ได้ดังที่พึงประสงค์ไว้ 
7. ความหมายของวิสัยทัศน์
      วิสัยทัศน์  หมายถึง  เป้าหมายที่มีลักษณะกว้างๆ   เป็นความต้องการในอนาคต  โดยมิได้กำหนดวิธีการไว้เป็นข้อความทั่วไป  ซึ่งกำหนดทิศทางของภารกิจ  เป็นความมุ่งหมายในสถานภาพที่เราจะไปเป็น  หรือเราไปอยู่    วันหนึ่งในอนาคต  ที่องค์กรมุ่งหมาย  มุ่งหวังหรือประสงค์จะเป็น  หรือจะมีในอนาคต
8. ความหมายของการระดมสมอง
      การระดมสมอง หมายถึง การแสดงความคิดเห็นร่วมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เพื่อเป็นแนวทางสู่การวางแผนการดำเนินการ, การค้นหาสาเหตุของปัญหา เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มเสนอแนวความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา

           โมเดลปลาทู
          โมเดลปลาทู หรือ แนวคิดของ(ประพนธ์ ผาสุกยืด,2547) เป็น รูปแบบที่ใช้สำหรับการจัดการความรู้ ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม โมเดลปลาทู เป็น โมเดลอย่างง่าย ที่เปรียบ การจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูตัวหนึ่ง ตัวที่มี 3 ส่วน คือ
            1.1.1   ส่วนเป้าหมาย หรือหัวปลา หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้
เป้าหมาย คือ สิ่งที่เรายึดมั่นจะไปถึง : ซึ่งมีความหมายดังนี้
1. หมายถึง การกำหนดสิ่งที่ต้องทำในอนาคตซึ่งหน่วยงานจะต้องพยายามให้เกิดขึ้น
2. หมายถึง เป็นการกำหนดพันธกิจ/ภารกิจในรูปของผลลัพธ์ที่สำคัญที่ต้องเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า อะไร คือ สิ่งที่หน่วยงานยึดมั่น และ ผูกพันที่จะต้องทำให้เสร็จ
ฉะนั้น เป้าหมายที่ดีจะต้องได้มาจาก พันธกิจและค่านิยมของหน่วยงานที่กำหนดขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงนำเอามาแปลความหมาย ตีความ และ ขยายความออกมา เพื่อกำหนดเป็นแผนกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการ ดังนั้นการตั้งเป้าหมายกระทำได้หลายแบบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น
1. เป้าหมายที่สะท้อนถึงการปฏิบัติตามที่กฏหมายกำหนด ระดับของการปฏิบัติงานบางประเภทมีกำหนดอยู่ในระเบียบ ข้อบังคับ เช่น การให้บริการแก่นักศึกษาเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติ ระเบียบของมหาวิทยาลัย ฉะนั้น การตั้งเป้าหมายประเภทนี้ต้องใช้ระเบียบตามที่หน่วยงานกำหนด
2. เป้าหมายที่ตั้งตามระดับผลการปฏิบัติงานในปัจจุบัน เป้าหมายประเภทนี้แสดงให้เก็นว่าผลการปฏิบัติงานที่เป็นอยู่น่าพึงพอใจขนาดไหน
3. เป้าหมายในระดับที่สามารถบรรลุผลได้ เป็นการตั้งเป้าหมายให้อยู่เหนือระดับผลการปฏิบัติงานในปัจจุบัน ไม่กำหนดให้สูงเกินไป เพื่อระดับที่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนด
4. เป้าหมายแบบท้าทาย การกำหนดเป้าหมายและท้าทาย เพื่อกระตุ้นผลการปฏิบัติให้สูงขึ้น ในกรณีเช่นนี้หน่วยงานต้องมีความจำเป็นเร่ง ด่วน หรือต้องการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเน้นการทบทวนและค่อยปรับระดับเพิ่มที่ละน้อย

วิสัยทัศน์คืออะไร

          วิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่มุ่งหวังจะให้มีหรือเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งผู้บริหารของหน่วยงานต้องเป็นผู้กำหนด  โดยทุกคนในหน่วยงานมีส่วนร่วม  โดยมุ่งตอบคำถามว่า  เราต้องการเป็นอะไร (What  do  we  want  to  come )

          วิสัยทัศน์หมายถึง  เป้าหมายที่มีลักษณะกว้างๆ   เป็นความต้องการในอนาคต  โดยมิได้กำหนดวิธีการไว้เป็นข้อความทั่วไป  ซึ่งกำหนดทิศทางของภารกิจ  เป็นความมุ่งหมายในสถานภาพที่เราจะไปเป็น  หรือเราไปอยู่    วันหนึ่งในอนาคต  ที่องค์กรมุ่งหมาย  มุ่งหวังหรือประสงค์จะเป็น  หรือจะมีในอนาคต
ความสำคัญของวิสัยทัศน์
          1. ช่วยกำหนดทิศทางที่จะดำเนินชีวิตหรือกิจกรรมองค์กร โดยมีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน
          2. ช่วยให้สมาชิกทุกคนรู้ว่า แต่ละคนมีความสำคัญต่อการมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง และรู้ว่าจะทำอะไร (What) ทำไมต้องทำ (Why) ทำอย่างไร (How) และทำเมื่อใด (When)
          3. ช่วยกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนมีความรู้สึกน่าสนใจ มีความผูกพัน มุ่งมั่นปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ท้าท้าย เกิดความหมายในชีวิตการทำงาน  มีการทำงานและมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมายด้วยความภูมิใจ และทุ่มเทเพื่อคุณภาพของผลงานที่ปฏิบัติ
          4. ช่วยกำหนดมาตรฐานของชีวิต องค์กร และสังคมที่แสดงถึงการมีชีวิตที่มีคุณภาพ องค์กรที่มีคุณภาพ และสังคมที่เจริญก้าวหน้ามีความเป็นเลิศในทุกด้าน 
       ลักษณะของวิสัยทัศน์ที่ดี
1. มีความชัดเจน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้
2. เป็นภาพเชิงบวกที่สะท้อนถึงความเป็นเลิศของโรงเรียนในอนาคต  ซึ่งอาจจะกำหนดเวลาไว้ด้วยก็ได้
3. ต้องท้าทายความสามารถของสมาชิกทุกคน
4. คำนึงถึงผู้รับบริการเป็นสำคัญ
5. มีความสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต
           ทิศทางการจัดการความรู้ คือ การกำหนดแนวทางในการดำเนินการจัดการความรู้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดได้อย่างชัดเจน
          1.1.2 ส่วนกิจกรรม หรือ ตัวปลา หมายถึง เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ การทำให้เกิดบรรยากาศ ในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการ หมุนเวียนของความรู้ ยกระดับความรู้
ความหมายของการแลกเปลี่ยนความรู้
                   การแลกเปลี่ยน หมายถึง การเปลี่ยนกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของสินค้าสิ่งของและบริการโดยอาจจะนำมา แลกเปลี่ยนกันโดยตรง หรือโดยอ้อมหรือวิธีการใด ๆ ก็ได้
                   ความรู้ หมายถึง คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา
                   สรุปได้ว่า การที่กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งร่วมกัน  มารวมตัวกันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้วยความสมัครใจ เพื่อร่วมสร้างความเข้าใจหรือพัฒนาแนวปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ

ความหมายของการหมุนเวียนความรู้
การหมุนเวียนความรู้ คือ การทำให้บุคคลมีความรู้ที่กว้างขวางและหลากหลาย เป็นการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันระหว่างบุคคล ถึงลักษณะความรู้ใหม่ที่ต้องการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน

ความหมายของการยกระดับความรู้
                   การยกระดับความรู้ หมายถึง การเพิ่มพูลความรู้ความเข้าให้มีระดับที่สูงขึ้น   
                  1.1.3 ส่วนการจดบันทึก หรือหางปลา เป็นส่วนของ คลังความรู้ หรือ คุมความรู้ ที่ได้จากการเก็บสะสมความรู้ ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ ตัวปลา ให้เป็นความรู้ชัดเจน นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป
ความหมายของคลังความรู้
          คลังความรู้   ซึ่งเปรียบเสมือน ถัง  ที่เรานำเอาความรู้มาใส่ไว้  แล้วใช้ระบบการจัดเก็บเป็นหมวดหมู่  เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย  เพื่อผู้ใช้ประโยชน์สามารถนำเอาไปใช้ได้จริง  ซึ่งความรู้ที่มีอยู่ในคลังนี้  สามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบ  คือ
       1. เป็นการบันทึกในลักษณะเรื่องเล่า  หรือคำพูดที่เร้าใจ เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ  เกิดแรงบันดาลใจ  ความรู้ในลักษณะนี้  จะเป็นความรู้แบบ  Tacit  Knowledge
       2. เป็นการบันทึกความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์  สังเคราะห์  สรุปเป็นประเด็นสาระสำคัญ  ซึ่งเป็นความรู้  แบบ  Explicit  Knowledge
       3. เป็นส่วนของความรู้ที่อ้างอิงจากแหล่งความรู้ต่างๆ  ทั้งที่อยู่ในรูปของเอกสาร  การอ้างอิงถึงตัวบุคคล  ผู้รู้  หรือ ผู้เชี่ยวชาญ  ชำนาญการ  ที่  เรียกว่า  References

ความหมายของการเผยแพร่และการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป
           การเผยแพร่และการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป หมายถึง การนำความรู้ที่ได้มาไปเผยแพร่สู่บุคคลภายนอกพร้อมกับแลกเปลี่ยนหมุนเวียนการเรียนรู้ เพื่อยกระดับความรู้นั้นต่อไป

โมเดลปลาทูแบ่งวงจรการเรียนรู้ออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.วิสัยทัศน์ของความรู้ ซึ่งจะใช้ในการหาเหตุผล ของการนำความรู้นั้นๆมาใช้
2.การแบ่งปันความรู้ แบ่งเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการกระจาย และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งจะรวมทั้งการแลกเปลี่ยนทางตรงและการแลกเปลี่ยนเสมือน เช่นการแลกเปลี่ยนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
3.สินทรัพย์ทางปัญญาด้านความรู้ เป็นคลังความรู้ที่จัดเก็บเพื่อนำไปใช้งาน และมีการต่อยอดระดับให้สูงขึ้น

                    สรุปได้ว่า รูปแบบการจัดการความรู้ปลาทู เปรียบเทียบการจัดการความรู้เป็นตัวปลา 1 ที่มีหัวปลา คือ เป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ ของการจัดการความรู้ ตัวปลา คือส่วนกิจกรรม หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ และหางปลา คือ การเก็บความรู้เข้าคลังความรู้ ที่มีการจัดเก็บความรู้ เป็นระบบ เพื่อให้สามารถเข้าถึง และนำมาใช้งาน ได้ง่าย
ในการทำกิจกรรมการจัดการความรู้ตามโมเดลปลาทูจะเป็นการจัดตั้งการประชุมขึ้นมาเพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีศึกษา(Case study) โดยมีการประชุมเพื่อหาเป้าหมายที่จะศึกษา จุดประสงค์ของเป้าหมาย ช่วยกันวิเคราะห์จุดประสงค์ และสาเหตุของปัญหา วิธีการแก้ไขปัญหาจากนั้นจะเป็นการเขียนสรุปพร้อมกับการนำความรู้ที่ได้นำไปเผยแพร่ต่อไป


แผนการจัดกิจกรรม
 
  โมเดลปลาทู
 กิจกรรม
         การดำเนินกิจกรรม

1.  หัวปลา


-     กำหนดวิสัยทัศน์

-     กำหนดเป้าหมาย

-     กำหนดจุดประสงค์

 


-    จัดการประชุม

-    จัดการประชุม

-    จัดการประชุม


2.  ตัวปลา


-     วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา

-     หาแนวทางในการแก้ไขปัญหา


-    จัดการประชุม

-    จัดการประชุม


3.  หางปลา


-     เขียนสรุปเป็นคลังความรู้


-    สร้าง Blogger